เมื่อ 25 ก.พ. 63 Marion Koopmans แพทย์หญิง และศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย อีราสมุส รอตเทอร์ดาม ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านไวรัสวิทยาขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาเตือนด้วยความกังวล ถึงเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ที่กำลังระบาดในจีน และขยายเป็นวงกว้างไปยังหลายประเทศทั่วโลก จนสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 2,600 ราย และติดเชื้อประมาณ 80,000 คน ว่า นี่อาจจะเป็น เชื้อโรค X(Disease X)
ทางเหล่าผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า เชื้อโรคมรณะนี้
คร่าชีวิตผู้คนได้มากถึง 80 ล้านคน และสร้างหายนะแก่โลกได้ หากเกิดการระบาดไปทั่วโลก แพทย์หญิง Koopmans กล่าวว่า “ถึงแม้ในหลายๆ ประเทศจะสามารถควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ก็ตาม แต่ขณะนี้เชื้อไวรัสดังกล่าวกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และกำลังกลายเป็นความท้าทายที่โลกจะต้องเผชิญกับการระบาดเป็นวงกว้างอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ซึ่งตรงกับประเภทของเชื้อโรคกลุ่ม Disease X ที่ถูกจัดไว้ในลำดับความสำคัญของโรค จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งพวกเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อม ป้องกันในโลกยุคโลกาภิวัตน์นี้”
ความเห็นของแพทย์หญิง Koopmans เกิดขึ้นไม่ถึง 6 เดือน หลังจากอดีตเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลก ได้เขียนรายงานเตือนถึงเชื้อโรคที่ทำให้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด
Yarraka Bayles คุณแม่ชาวออสเตรเลีย ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กด้วยความโศกเศร้าเสียใจ หลังจากที่ลูกชายของเธอวัย 9 ขวบ Quaden ซึ่งมีภาวะแคระมาตั้งแต่เกิด ได้ร้องไห้กับตน และขอร้องให้แม่ฆ่าให้ตาย เนื่องจากตนโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้ออย่างหนักเนื่องจากความผิดปกติ ทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้วอีกต่อไปแล้ว เด็กชายกล่าวทั้งน้ำตาว่า หนูอยากแทงหัวใจตัวเอง อยากให้มีคนมาฆ่าหนูให้ตาย
คุณแม่บอกว่าเธอต้องการแบ่งปันวิดีโอ เพื่อให้คนตระหนักเกี่ยวกับการถูกบูลลี่ และอาจจะได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครองคนอื่นๆ ในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงกรณีของลูกชายเธอด้วย “ฉันเพิ่งไปรับลูกมาจากโรงเรียน แล้วเห็นว่าเขาโดนแกล้ง ฉันอยากบอกให้ทุกคนรู้ ทั้งผู้ปกครอง ครูว่า นี่เป็นผลจากการกลั่นแกล้งในโรงเรียน อยากให้รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำร้ายครอบครัวเรา…ฉันต้องคอยจับตาดูเขาตลอดเวลา เพราะกลัวว่าเขาจะฆ่าตัวตาย”
เธอหวังว่าโรงเรียนจะสอนเด็กคนอื่นๆ เกี่ยวกับความผิดปกติของลูกชายเธอ เพื่อให้ลูกของเธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนได้ หลังจากที่โพสต์คลิปไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ก็มีผู้เข้าชมมากกว่า 16 ล้านครั้ง และมีหลายคนส่งกำลังใจมาให้เป็นจำนวนมาก รวมถึง Latrell Mitchell นักกีฬารักบี้ ที่ Quaden เคยถ่ายรูปด้วย
หลั่งน้ำตา พยาบาลจีนโกนผม ก่อนไปช่วยผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ที่อู่ฮั่น
ไวรัสโคโรน่า – สำนักข่าว เดอะ ซัน รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2563 โรงพยาบาลในเมืองหลานโจว มณฑลกานซู่ ของประเทศจีน ได้สั่งให้พยาบาลจำนวน 15 คน โกนผม เพื่อแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจ และจากนั้นจะถูกส่งไปช่วยต่อสู้ รักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ หรือ โควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาด
สื่อท้องถิ่นของจีนอย่าง Gansu Daily ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาลงบนอินเทอร์เน็ต เป็นช่วงขณะที่พยาบาลกลุ่มนี้กำลังถูกโกนผม ซึ่งบางคนดูเครียด กดดัน เสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา เพื่อตั้งคำถามว่าสิ่งนี้สมควรแล้วหรือ หลังจากที่คลิปดังกล่าวออกไป ชาวเน็ตจีนก็ได้วิพากษ์วิจารณ์โรงพยาบาลกันเป็นวงกว้าง บางคนบอกว่ามันจำเป็นหรือที่จะต้องโกนผม หรือตัดผมสั้นเจ้าหน้าที่เช่นนี้
ต่อมาทางโรงพยาบาลก็ได้ออกมาชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนสมัครใจที่จะโกนผมเอง เพื่อเป็นการป้องกันการติดต่อของเชื้อโรคด้วย ชาวเน็ตส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สำหรับเจ้าหน้าที่การแพทย์ นี่เป็นเรื่องปกติ และเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การโกนผมอาจช่วยป้องกันการติดต่อได้ และง่ายต่อการทำความสะอาด
แต่ทางคอลัมนิสต์ของเว็บไซต์ข่าว Southcn.com ก็ได้ออกมาโต้แย้งไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว โดยบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องโกนผมจนหมด เหล่าพยาบาลที่กำลังจะไปอู่ฮั่น เป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ในแนวหน้าอยู่แล้ว พวกเขาควรมีความรู้เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองจากไวรัส พวกเขาควรมีสิทธิ์ในการเลือกทรงผมของตัวเอง และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สามารถทำงานได้ดีพร้อมกับหวีผม ทำไมพวกเขาต้องตัดผมด้วย?
วันที่ 19 ก.พ. 63 เดอะ ซัน รายงานว่า สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีรับสั่งห้ามเจ้าชายแฮร์รี่ และพระชายาเมแกน ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ใช้ตราสัญลักษณ์ Sussex Royal หลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจลดบทบาทในราชวงศ์ และไม่ได้ทำหน้าที่ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอีกต่อไป
แหล่งข่าวเผยว่าเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน ได้ใช้เงินหลายพันปอนด์ในการปรับปรุงเว็บไซต์ และตราสัญลักษณ์ Sussex Royal เพื่อเป็นช่องทางทำการตลาด แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้ เพื่อขอตราสัญลักษณ์ราชวงศ์อังกฤษในการแสวงหากำไรอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จะต้องหาแบรนด์ใหม่มาใช้แทน หลังจากที่ได้มีการหารือเรื่องนี้กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าหน้าที่อาวุโสในสำนักพระราชวังอังกฤษมาเป็นเวลานาน
Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่าง